ประโยชน์ของวิตามินเอ (Vitamin A)

Last updated: 9 ต.ค. 2566  |  1714 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ประโยชน์ของวิตามินเอ (Vitamin A)

          วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่มีความจำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกายมาก เราจึงควรบริโภควิตามินเอให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายมีสุขภาพที่แข็งแรง หลายๆคนอาจจะรู้ว่าประโยชน์ของวิตามินเอคือช่วยในการบำรุงสุขภาพตา แต่ที่จริงแล้ววิตามินเอยังมีประโยชน์อีกมากมาย

 

วิตามินเอ (Vitamin A) คืออะไร ?


          วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน เป็นอีกหนึ่งวิตามิน ที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย มีบทบาทสำคัญต่อการเจริญเติบโตและการทำงานของส่วนต่างๆในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นดวงตา ผิวหนัง หรือระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายเรา

          วิตามินเอ (Vitamin A) พบใน 2 รูปแบบหลัก คือ เรตินอลที่พร้อมใช้งาน (Performed vitamin A : retinol) และในรูปแบบสารตั้งต้น (Provitamin A carotenoids) ซึ่งส่วนใหญ่จะพบสารเบต้าแคโรทีนมากที่สุด โดยจะพบในผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่

 

ประโยชน์ต่อร่างกายของ วิตามินเอ (Vitamin A)

 

  บำรุงสุขภาพและป้องกันการเสื่อมของตา


วิตามินเอ เป็นวิตามินที่มีความสำคัญต่อการมองเห็นและสุขภาพตาของเรา การรับประทานวิตามินเอที่เพียงพอ จึงช่วยในการบำรุงสายตา และช่วยป้องกันการเกิดโรคที่เกี่ยวกับดวงตาบางชนิดได้ เช่น โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุ ลดความเสียงในการเป็นต้อกระจก และยังมีส่วนช่วยในการป้องกันการสูญเสียการมองเห็นในตอนกลางคืนได้อีกด้วย

 

  มีส่วนช่วยในการเพิ่มภูมิคุ้มกัน


วิตามินเอเป็นสารอาหารที่มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน โดยวิตามินเอจะมีผลต่อระบบภูมิคุ้มกันโดยกระตุ้นการตอบสนองต่างๆ ที่ปกป้องร่างกายจากการติดเชื้อ และวิตามินเอยังเกี่ยวข้องกับการผลิตและการทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ช่วยในการดักจับเชื้อโรคและแบคทีเรียที่เข้าสู่ร่างกายได้

 

  เป็นสารต้านอนุมูลอิสระประสิทธิภาพสูง


Provitamin A carotenoids เช่น เบเต้าแคโรทีน เป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ มีคุณสมบัติในการเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง สารต้านอนุมูลอิสระนี้จะปกป้องร่างกายของเรา ยับยั้งการเกิดภาวะเครียด (Oxidative stress) ซึ่งภาวะเครียดนี้จะเชื่อมโยงกับการเกิดภาวะโรคเรื้อรัง เช่น มะเร็ง โรคหัวใจ และเบาหวาน เป็นต้น

 

   ช่วยลดโอกาสการเกิดสิว


วิตามินเออาจมีส่วนช่วยในการลดสิว โดยได้มีการศึกษาที่ชี้ให้เห็นว่าเรตินอยด์ซึ่ง เป็นกลุ่มสารของอนุพันธุ์วิตามินเอ สามารถช่วยลดการเกิดสิวได้ และอาจมีส่วนช่วยในการลดรอยแผลเป็นจากสิวได้

 

   บำรุงผิวพรรณ ป้องกันการเกิดผิวแห้งหยาบกร้าน


วิตามินเอ เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ จึงมีส่วนในการช่วยป้องกันการเกิดฝ้า กระ และริ้วรอยที่เกิดก่อนวัยอันควร มีส่วนช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังช่วยปกป้องผิวจากรังสียูวีในแสงแดดได้อีกด้วย

 

   มีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็ง


วิตามินเออาจมีส่วนช่วยในการป้องกันมะเร็งบางชนิด เนื่องจาก วิตามินเอมีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ผักและผลไม้ที่มีสารแคโรทีนอยด์จึงอาจป้องกันมะเร็งบางชนิดได้ โดยได้มีการศึกษา การเสริมวิตามินเอและเรตินอล อาจมีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของมะเร็งได้หลายชนิด เช่น มะเร็งกล่องเสียง มะเร็งหลอดอาหาร มะเร็งช่องปาก มะเร็งปอด มะเร็งรังไข่ เป็นต้น

 

   ส่งเสริมความแข็งแรงของกระดูก


การได้รับวิตามินเออย่างเพียงพอ จะมีส่วนช่วยในการเสริมความแข็งแรงของกระดูกได้ ผู้ที่ได้รับวิตามินเอในเลือดต่ำจะมีความเสี่ยงสูงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับกระดูก กระดูกจะไม่มีความแข็งแรง อาจแตกหรือหักได้ง่าย ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนั้นจึงควรรับประทานวิตามินเอให้เพียงพอ เพื่อช่วยให้กระดูกมีความแข็งแรง สามารถทำงานได้ดีสมบูรณ์มากขึ้น

 

 

การบริโภควิตามินเอ (Vitamin A) ที่ถูกต้อง


           ปริมาณวิตามินเอ ที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ผู้ที่มีอายุ 19 ปีขึ้นไป ผู้หญิงควรได้รับวิตามินเอ 600 ไมโครกรัมของเรตินอล ต่อวัน ผู้ชายควรได้รับวิตามินเอ 700 ไมโครกรัมของเรตินอล ต่อวัน โดยการบริโภควิตามินเอไม่ควรเกิน 3000 ไมโครกรัมของเรตินอล ต่อวัน

 

แหล่งอาหารที่พบวิตามินเอ (Vitamin A)


          แหล่งอาหารที่พบในวิตามินเอ (Vitamin A) จะพบมากในไข่แดง ตับ เครื่องในสัตว์ นม และพืชกลุ่มที่มีสารแคโรทีนอยด์ ได้แก่ ผักใบเขียวเข้ม ผักและผลไม้สีเหลือง สีส้ม เช่น ผักบุ้ง ตำลึง ผักโขม คะน้า มะละกอสุก แครอท ฟักทอง ข้าวโพด และมันเทศ

 

อาการเมื่อร่างกายขาดวิตามินเอ (Vitamin A)


เมื่อร่างกายขาดวิตามินเอ (Vitamin A) จะส่งผลให้เกิดอาการดังนี้

  1. มองไม่เห็นในที่แสงน้อย หรือที่เรียกว่า อาการตาบอดกลางคืน ในผู้ที่ร่างกายขาดวิตามินเอ จะทำให้การมองเห็นหรือสายตาไม่คมชัดเท่าเดิม
  2. อาการตาแห้ง หรือเยื่อบุตาแห้ง ลักษณะอาการคืออาจมีเมือกเหนียวในตาหรือบริเวณรอบดวงตา มีอาการระคายเคือง หากเยื่อบุตาแห้งอย่างรุนแรง ก็จะส่งผลให้ตามีลักษณะขาวแห้งและมีรอยย่น มีโอกาสติดเชื้อได้ง่ายกว่าปกติ
  3. โรคผิวหนัง การขาดวิตามินเอจะทำให้ผิวขาดความชุ่มชื้น และหยาบกร้านได้ เนื่องจากวิตามินเอมีบทบาทสำคัญในการรักษาสภาพเยื่อบุผิวหนัง การขาดวิตามินเอ จึงอาจนำไปสู่โรคทางผิวหนังได้
  4. มีการเจริญเติบโตของกระดูก กระดูกอ่อน และฟัน ช้ากว่าปกติ ทำให้เด็กที่อยู่ในช่วงเจริญเติบโต มีการเจริญเติบโตที่ช้า
  5. ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายต่ำ เมื่อร่างกายขาดวิตามินเอ จะทำให้เกิดโรคติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจได้ง่าย และยังมีส่วนทำให้เกิดการอับเสบในบริเวณช่องปาก คอ ต่อมน้ำลาย และโพรงจมูกได้

 

ข้อควรระวังเมื่อบริโภควิตามินเอ (Vitamin A) เกินขนาด


การบริโภควิตามินเอ (Vitamin A) เกินขนาด จะมีส่วนทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่ดีต่อร่างกายได้ เนื่องจากวิตามินเอละลายในไขมัน ร่างกายจึงเก็บสะสมปริมาณวิตามินเอส่วนเกินไว้ที่ตับ ทำให้วิตามินเอสะสมในร่างกายได้ โดยผลข้างเคียงที่เกิดในร่างกาย มีดังนี้

  • ส่งผลทำให้ตับถูกทำลาย
  • ปวดศีรษะ
  • คลื่นไส้
  • ท้องเสีย
  • ปวดข้อและกระดูก มีส่วนทำให้กระดูกบาง
  • ผิวหนังระคายเคือง
    โดยผู้ที่กำลังตั้งครรภ์หรือวางแผนในการตั้งครรภ์ ควรมีการปรึกษาแพทย์ก่อนการเสริมวิตามินเอ เนื่องจากหากเสริมวิตามินเอเกินขนาดในระหว่างตั้งครรภ์ ก็อาจส่งผลต่อเด็กในครรภ์ได้

 

สรุป


วิตามินเอ (Vitamin A) เป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีความจำเป็นและมีประโยชน์ต่อร่างกายเรา ไม่ว่าจะเป็น ช่วยให้มีประสิทธิภาพในการมองเห็นที่ดีขึ้น เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยบำรุงผิวพรรณ ลดการเกิดสิว ช่วยส่งเสริมกระดูกให้แข็งแรง และช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ทำงานได้ดีขึ้น ดังนั้นเราจึงควรบริโภควิตามินเอให้เพียงพอเพื่อให้เรามีสุขภาพที่แข็งแรง

 

Derma Health โรงงานผลิตอาหารเสริมแบบครบวงจร ควบคุมการผลิตโดยเภสัชกรและทีมนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญด้านอาหารเสริมโดยเฉพาะ รวมถึงนวัตกรรมเครื่องจักรที่ใช้ในการผลิตที่ทันสมัย ประสิทธิภาพสูง การันตีคุณภาพ และมาตรฐานความปลอดภัยระดับสากล ในทุกขั้นตอนการผลิต

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้